ใครเล่นบาคาร่าก็มีแต่อยากจะบวกให้ได้มาก ๆ ใช่ไหมล่ะครับ แต่เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเกมไพ่ที่เล่นง่าย ๆ ถึงได้บวกยาก หรือตอนแรกก็บวกอยู่ดี ๆ ช่วงหลังกลายเป็นติดลบไปเสียอย่างนั้น ความจริงแล้วมันมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ ไม่ได้ใส่ใจ ทั้งที่มันสามารถช่วยให้ทำกำไรได้เยอะมาก ว่าแต่มันคืออะไรไปดูกันดีกว่าครับ
เชื่อกันว่าไพ่บาคาร่านั้นมีต้นกำเนิดมาจากไพ่ที่นิยมเล่นกันในอิตาลีตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 โดยกติกาที่ใช้เล่นยังคงเป็นพื้นฐานมาจนถึงทุกวันนี้คือ มีผู้เล่นอยู่ 2 ฝั่ง ได้แก่ เจ้ามือ กับผู้เล่น แต่สมัยนั้นจะใช้ไพ่สำรับเดียว การนับแต้มบาคาร่าก็เหมือนปัจจุบันคือไพ่ J, Q และ K จะมีค่าเป็น 0 แต้ม และเมื่อไพ่นี้ได้รับความนิยมมากขึ้นก็มีการนำไปเล่นในคาสิโนลาสเวกัสช่วงปี 1950 จนกระทั่งมีคนเล่นกันเยอะเกินคาด ทำให้ต้องแบ่งห้องแบ่งโต๊ะวางเดิมพันกันตามฐานะการเงิน มีตั้งแต่เดิมพันน้อย ๆ ไปจนถึงเดิมพันมาก ๆ อีกทั้งไพ่ที่ใช้ก็มากถึง 8 สำรับ ทำให้เป็นรากฐานในการเล่น บาคาร่าออนไลน์ ในทุกวันนี้
ก่อนจะเล่นบาคาร่าจำเป็นต้องรู้ว่าเขานับแต้มกันอย่างไรเสียก่อน ซึ่งการนับแต้มก็ไม่ยาก ไพ่แต่ละใบจะมีค่าดังนี้
วิธีการนับแต้มจากแต้มไพ่แต่ละใบที่ได้รับมารวมกัน หากแต้มรวมได้ตั้งแต่ 10 แต้มขึ้นไปจะใช้หลักหน่วยในการตัดสิน เช่น ได้ไพ่ 9, 7, K = 9+7+0 = 16 แต่ใช้แค่หลักหน่วยเท่ากับว่าได้เพียงแค่ 6 แต้ม หรือ 9, A = 9+1 = 10 เช่นนี้ถือว่าได้ 0 แต้ม เรียกว่าไพ่บอด
สำหรับการตัดสินแพ้ชนะจะดูว่าฝั่งไหนได้แต้มใกล้เคียง 9 แต้มมากที่สุดจะเป็นฝ่ายชนะ
หลังจากที่เลือกโต๊ะได้แล้วเราจะต้องวางเดิมพันไปในฝั่งที่คิดว่าจะชนะ หลังจากนั้นดีลเลอร์จะแจกไพ่ให้ฝั่งละ 2 ใบ แล้วค่อยเปิดไพ่เพื่อนับแต้ม ในขั้นตอนนี้ดีลเลอร์จะดูว่าแต้มที่ออกมาของทั้งสองฝั่ง จำเป็นต้องจั่วไพ่เพิ่มหรือว่าสามารถตัดสินผลกันได้เลย
เรื่องไพ่ใบที่ 3 นับว่าเป็นปัญหาสำหรับคนที่ไม่รู้กติกาอย่างมาก หลายคนโวยวายหาว่าคาสิโนโกงเมื่อเห็นว่ามีการจั่วไพ่เพิ่ม ทั้ง ๆ ที่ฝั่งที่แทงกำลังจะชนะอยู่แล้ว แต่เนื่องจากกฎไพ่ใบที่ 3 มีความซับซ้อน จึงต้องให้ดีลเลอร์เป็นคนดูแลกฎนี้แทน ซึ่งเงื่อนไขการจั่วไพ่เพิ่มมีอยู่ว่า
สำหรับอัตราจ่ายบาคาร่านั้นจะขึ้นอยู่กับโต๊ะที่เราเล่นว่าเป็นแบบมีคอมมิชชั่นหรือไม่ หากไม่มีในการแทงฝั่งเจ้ามืออัตราจ่ายจะอยู่ที่ 1 เท่า หรือแทง 1 จ่าย 1 ไม่รวมทุน แต่สำหรับกฎมาตรฐานทั่วไปจะมีอัตราจ่ายดังนี้
House Edge หรืออัตราความได้เปรียบของคาสิโนจะมีความสัมพันธ์กับอัตราจ่าย และจะส่งผลต่อการทำกำไรของเราในระยะยาว นั่นก็คือยิ่งเล่นนานเล่นหลายตายิ่งทำให้โอกาสชนะของเราลดน้อยลงเรื่อย ๆ สำหรับค่า House Edge ของการเดิมพันแต่ละฝั่งจะมีดังนี้
หากดูให้ดีจะเห็นว่าฝั่งเสมอกับฝั่งไพ่คู่เป็นจุดที่คาสิโนได้เปรียบมาก ๆ จึงทำให้สองฝั่งนี้มีอัตราจ่ายที่มากกว่าการแทงฝั่งเจ้ามือหรือผู้เล่น ส่วนฝั่งเจ้ามือที่คาสิโนได้เปรียบน้อยที่สุดก็มีการแก้ไข โดยการเพิ่มกฎที่ว่าหากเจ้ามือชนะจะต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับคาสิโน 5% จึงเป็นเหตุผลที่ว่าหากเล่นบาคาร่าจำเป็นต้องใช้สูตรเดินเงินเข้าช่วยจะทำให้มีโอกาสได้กำไรมากกว่า
หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วทำไมอัตราจ่ายของไพ่คู่ถึงมากกว่าฝั่งเสมอ ทั้งที่คาสิโนได้เปรียบน้อยกว่า นั่นเป็นเหมือนกับจิตวิทยาที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่ามันน่าวางเดิมพัน แต่สำหรับคาสิโนแล้วนั้นหากได้เปรียบมากกว่า 10% จะจ่ายมากแค่ไหนก็ได้เปรียบกว่าอยู่ดี